top of page
IMG_8907.HEIC

เดอะ เรซิเดนซ์

The Kunawong House Museum, a three-story residence which is currently the living space of the Kunawong family. The house exhibits art pieces ranging from antiques, traditional Thai art, contemporary art, sculptures, furniture, and home decorations from various eras and cultures. It is divided into 11 sub-zones, namely the Living Room of Era’s Dialogues, the Thai Heritage Tea Room, the Red Reading Room, the Dawn Dining Room, the Portrait Staircase, the Chakkraband Room, the Meditation Room, the Hallway of Buddhist’s Art, the Abstract Art Penthouse, The Secret Spiral Staircase, the Khien Yimsiri Garden. These spaces serve both for the family's use and display of collectibles, allowing visitors to immerse themselves in the aesthetic pleasure of living alongside art.

อาคาร

โถงบทสนทนาของยุคสมัย

เป็นห้องโถงเพดานสูงตกแต่งด้วยสไตล์ Eclectic (อีเคลคทิค) ที่เต็มไปด้วยผลงานศิลปะและเฟอร์นิเจอร์มากมายซึ่งมีรูปทรงและสไตล์ที่หลากหลาย ต่างยุคสมัย ต่างที่มาแต่มาอยู่รวมกันได้อย่างลงตัว ราวกับว่า เป็นที่นัดพบเพื่อสนทนาเรื่องราวต่าง ๆ ร่วมกัน ตั้งแต่เก้าอี้จากยุควิคตอเรียนโกธิคในสมัยพระเจ้าเจมส์ที่ 2 กำลังสนทนากับ เก้าอี้ Marquise Bergere (มาคีช เบอร์แชร์) จากศตวรรษที่ 19 ร้อยปีก่อนหน้านั้น ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ยุคบาโรค ทั้งสองร่วมสนทนากับเก้าอี้ Red and Blue Chair เก้าอี้ยุคหลังปฏิวัติอุตสาหกรรม ออกแบบในปี 1917 โดยดีไซเนอร์ชาวดัชท์ เกริท รีทเวลด์ (Gerrit Rietveld) โดยมีประติมากรรม ‘หัวใจของพิพิธภัณฑ์’ โดยศิลปิน คามิน เลิศชัยประเสริฐ ตั้งเป็นสักขีพยาน ด้านบนเพดาน จะพบกับประติมากรรมที่ออกแบบโดย เสริมคุณ คุณาวงศ์ ศิลปินปั้นและหล่อโดย ธนดล ดีรุจิเจริญ ผลงานชิ้นนี้มีชื่อว่า สี่ชีวิตกับดวงตาฮอรัส ดวงตาของอียิปต์โบราณที่เป็นศูนย์กลางของกระแสน้ำที่หมุนวนไปโดยรอบ โดยมีสัตว์สัญลักษณ์ของราศีเกิดของบุคคล 4 คนที่อยู่ในบ้านพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เคลื่อนไหวไปรอบ ๆ ด้านล่าง มีตู้ออกแบบในลักษณะที่เป็น Grid (กริด) ขนาดใหญ่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากงานศิลปะโมเดิรน์อาร์ทของ พีท มอนเดียน (Piet Mondrian) เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตและความรักในงานศิลปะของเจ้าของบ้านพิพิธภัณฑ์ ผ่านข้าวของเครื่องใช้ ความทรงจำในอดีตร้อยเรียงเรื่องราวจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้น บนผนังสีขาวยังมีผลงานที่น่าสนใจอีก อาทิ งานจิตตานุวัฒน์ โดย ปัญญา วิจินธนสาร ศิลปินแห่งชาติ ปี พ.ศ 2557 โดยจะเห็นพระพักตร์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและสรรพชีวิตของสัตว์ซ่อนตัวอยู่อย่างมากมายอย่างน่าอัศจรรย์ รวมถึงผลงานจิตรกรรมโดยศิลปินผู้นำศิลปะแนวแสงและเงา ปรีชา เถาทอง และผลงานในช่วงเริ่มต้นการเป็นศิลปินของ พัฒน์ดนู เตมีกุล อีกด้วย 

ห้องแดง: ห้องอ่านหนังสือ

เป็นห้องที่เจ้าของบ้านใช้สำหรับเขียนและอ่านหนังสือเป็นประจำในช่วงกลางวัน หนังสือที่เก็บในห้องนี้ผ่านการอ่านมาแล้วทุกเล่ม ประกอบไปด้วยหนังสือประวัติศาสตร์ ศิลปะ ปรัชญา การเมือง สถาปัตยกรรม และ การตกแต่งภายใน ซึ่งสะท้อนความสนใจของเจ้าของบ้าน โต๊ะ เก้าอี้ และชุดโซฟาเป็นสไตล์ตะวันตก โต๊ะทำงานออกแบบโดย …. ในศตวรรษที่ 19? ซึ่งสร้างในฝรั่งเศส โคมไฟฝรั่งเศสที่สร้างขึ้นในยุคที่ยุโรปนิยมเครื่องประดับบ้านจากประเทศแถบตะวันออก เราจึงเห็นเครื่องกระเบื้องจีนประกอบเข้ากับขาที่ทำด้วยวัสดุบรอนซ์ และถูกใช้งานแบบตะวันตก สิ่งที่เราจะเห็นเป็นอย่างแรกในห้องนี้คือ ตู้หุ่นขนาดใหญ่ที่บรรจุหุ่นตระกูลต่างๆ ทั้งของสยามและประเทศใกล้เคียง มีทั้งหุ่นหลวง หุ่นละครเล็ก หุ่นกระบอก หุ่นสายประเภทมารีอองเนต Marionette จากมัณฑะเลย์ นอกจากนั้น ยังมีศรีษะโขน งานฝีมือชั้นครูจากหลากหลายสำนัก ภายในห้องยังจัดแสดงชุดแต่งตัวชนชั้นสูงของไทยในสมัยรัชกาลที่ 4 ประกอบด้วย ตั่งขาคู้อันประณีตงดงาม คนโทเงินกะไหล่ทอง ขันน้ำและถาดล้างหน้าถมทอง คันฉ่อง พร้อมปริกยอดทองสำหรับใส่น้ำอบ น้ำปรุง และราวพาดผ้างาช้างเศียรพญานาค อีกด้านหนึ่งของห้องจัดวางตู้แบบไทย ภายในตู้บรรจุของใช้สมัยรัชกาลที่ 4และที่ 5 เช่น ขันน้ำถมทอง พานเทพพนมและชุดเชี่ยนหมากเงินกะไหล่ทอง ชุดน้ำชาจีนและชุดน้ำชา จปร ถ้วยชามเบญจรงค์ เป็นต้น ห้องนี้สะท้อนความรักในศิลปะไทยประเพณีแบบโบราณของเจ้าของบ้าน บนผนังปรากฏงานจิตรกรรมไทยประเพณีที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการอนุรักษ์จิตรกรรมไทยประเพณีสกุลช่างจักรพันธุ์ โปษยกฤตจากอุโบสถวัดตรีทศเทพวรวิหาร ที่นำมาสร้างสรรค์จัดองค์ประกอบใหม่ลงบนผืนผ้าใบภายใต้การดูแลงานอย่างใกล้ชิดจาก อาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤตและวัลลภิศร์ สดประเสริฐ งานชิ้นสำคัญเป็นภาพพุทธประวัติตอนประสูติ จัดองค์ประกอบใหม่โดยอาจารย์จักรพันธุ์อย่างงดงาม นอกจากนั้นยังมีจิตรกรรมไทยประเพณีฝีมือชั้นครูของอาจารย์สมปอง อัครวงศ์ และที่สร้างมิติแห่งกาลเวลาอันหลากหลายคือ การนำเอาผลงานของ มณเฑียร บุญมา ศิลปินศิลปะร่วมสมัยคนสำคัญ มาร่วมจัดแสดงในห้องนี้อีกด้วย

ห้องน้ำชามรดกไทย

อีกหนึ่งห้องที่จัดแสดงความวิจิตรประณีตของศิลปะและงานฝีมือแบบไทย ที่มีพัฒนาการต่อเนื่องมามากกว่า 800 ปี เริ่มจากตู้พระธรรมลายรดน้ำสมัยรัชกาลที่ 4 ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปไม้สมัยพระเจ้าปราสาททอง ทรงประทับบนบัลลังก์กระแหนะรัก ประดับกระจกอย่างงดงาม บริเวณกลางห้องจัดวางบุษบกหลังงามศิลปะรัชกาลที่ 7 ภายในบรรจุพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรสมัยอยุธยาตอนปลาย ตู้เทียนขนาดใหญ่ อีกหนึ่งชิ้นงานที่เป็นงานจำหลักไม้ผสมเทคนิคประดับโลหะ สะท้อนความรุ่มรวยและภูมิปัญญาของศิลปะสยามในสกุลช่างหลวงได้เป็นอย่างดี งานฝีมือรัชกาลที่ 9 โดย หทัย บุนนาค ช่างทำพัดในราชสำนัก ปรากฏบนพัด 3 เล่มอย่างวิจิตร อีกมุมหนึ่งของห้อง จัดวางตู้ไทยสมัยรัตนโกสินทร์อิทธิพลศิลปะจีน ภายในบรรจุสมุดไทยสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ช่วงรัชกาลที่ 4-5  ที่เขียนภาพชุดที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา ด้านข้างจัดแสดงกากะเยียงาช้างสำหรับใช้วางหนังสือใบลาน มุมสำคัญอีกมุมในห้องนี้คือ มุมทานน้ำชาที่จัดวางเก้าอี้พร้อมโต๊ะข้างแบบจีน นำเอาหีบใส่ผ้าจากต้นศตวรรษที่ 20 และจัดวางรูปเขียนบรรพบุรุษผู้มีชีวิตในสมัยราชวงศ์ชิงมาจัดแสดงร่วมด้วย ในด้านหนึ่งของห้องจัดเพื่อระลึกถึงสมเด็จครู สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ผู้ซึ่งเป็นนายช่างเอกแห่งกรุงสยาม โดยจัดแสดงพระรูปเหมือนปั้นโดย ศิลป์ พีระศรี ในปี พ.ศ. 2466 พร้อมผลงานภาพเขียนและผลงานตาลปัตรอีกหลายชิ้น  ผลงานที่จัดแสดงในห้องนี้ สะท้อนถึงการผสมผสานและการเคลื่อนย้ายทางด้านศิลปะ โดยช่วงแรกได้รับอิทธิพลจากเขมร มาสู่อิทธิพลของจีนและเทคนิคศิลปะแบบตะวันตกในที่สุด

ห้องรุ่งอรุณของศิลปะไทย

ด้านหน้าของห้องประดับไปด้วยหนังสือและภาพพิมพ์ Eduard Hildebrandt นักผจญภัยและศิลปินชาวเยอรมันที่เดินทางมาสยามและได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สะท้อนถึงอิทธิพลตะวันตกในยุคล่าอาณานิคม เชื่อมโยงไปถึงภาพวาดของ เหม เวชกร ที่เป็นตัวอย่างผลงานศิลปินไทยที่ได้มีโอกาสเรียนรู้โดยตรงจากช่างชาวอิตาเลียน และนำมาเขียนเรื่องราวในบริบทแบบไทย  ภายในห้องสีเหลืองโคโลเนียล ซึ่งเป็นสีที่นิยมในศตวรรษที่ 19 ต่อเนื่องถึง 20 ตอนต้น ในแถบเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นสีที่ดึงดูดสายตาผู้มาเยือนเป็นอย่างยิ่ง ภายในห้อง จัดแสดงให้เห็นการผสมผสานและถ่ายทอดมุมมองทางศิลปะจากความคิดทางตะวันตกมาสู่สยาม พร้อม ๆ กับการเข้ามาของช่างฝีมือ ทั้งทางด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรม และศิลปกรรมจากยุโรป ศิลปินไทยจึงได้ตอบรับเทคนิควิธีการสร้างสรรค์งานศิลปะซึ่งเป็นที่นิยมในต่างประเทศ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมศิลปะของไทย ภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ของรัชกาลที่ 5 โดย ศักย ขุนพลพิทักษ์ ที่ตั้งตระหง่านโดยมีโคมไฟระย้าในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ทำให้เห็นบรรยากาศของศิลปะในยุคนั้น เรื่องราวของนายช่างอิตาเลี่ยน คอราโด เฟโรจี หรือ ศิลป์ พีระศรี ผู้นำการเรียนการสอนแบบ Academy of Fine Art จากเมืองฟลอเรนซ์เข้ามาสู่ประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยได้เกิดโรงเรียนประณีตศิลปกรรมและมหาวิทยาลัยศิลปากรจากนั้นมา ปรากฏเป็นผลงานการปั้นโดย ศิลป์ พีระศรี ผลงานของศิลปินที่อยู่ร่วมสมัยกับศิลป์ พีระศรี และผลงานของลูกศิษย์ศิลป์ พีระศรี อาทิ เขียน ยิ้มศิริ, ประหยัด พงษ์ดำ, ประกิต(จิตร) บัวบุศย์, เฉลิม นาคีรักษ์, ชลูด นิ่มเสมอ, ช่วง มูลพินิจ, ถวัลย์ ดัชนี, ประพันธ์ ศรีสุตา, สวัสดิ์ ตันติสุข, อังคาร กัลยาณพงศ์, อินสนธิ์ วงศ์สาม, และ จ่าง แซ่ตั้ง ซึ่งได้ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวบ้านและสามัญชน อันเป็นการบุกเบิกศิลปะสมัยใหม่ในไทย ซึ่งเป็นต้นทางของศิลปะร่วมสมัย

โถงบันไดภาพพอร์ทเทรท

โถงบันไดที่ติดภาพเหมือนบุคคลและประติมากรรมบนผนังสูงสีขาว โดดเด่นไปด้วยใบหน้าและแวว ตาของผู้คนมากมายหลากหลายมุมมอง ที่มา สถานะ และบทบาทหน้าที่ ภาพที่อยู่ตรงหน้าดึงดูด สายตาให้หยุดมอง พร้อมกับเรื่องราวเบื้องหลังที่ตรึงตราตรึงใจผู้มาเยือน จากซีกโลกตะวันตก ภาพทนายความแห่งเมืองลียง สวมใส่ชุดครุยสีด สง่างาม วาดด้วยสีน้ำมันบนผ้าใบ จากปี พ.ศ 2391 โดย ชูล โจเซฟ อัลเล่ ในยุคปฏิวัติฝรั่งเศส ปะทะสายตากับภาพสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิ ไชยญาติ (ทัต บุนนาค) หนึ่งในภาพเขียนสีน้ำมันรูปชาวสยามที่เขียนขึ้นในยุคแรกๆ ด้วยเทคนิค ตะวันตก ในปี พ.ศ. 2401 โดยศิลปิน เจ โรเบิร์ตส (Mr. J. Roberts) แห่งสตูดิโอชาร์ลส โรเบอร์ สัน (Charles Roberson Studio) ในกรุงลอนดอน อีกภาพเขียนสะกดอารมณ์ที่ทำให้นึกถึงเรื่อง ราวสะเทือนใจของบุคคลในภาพ ได้แก่ภาพเหมือนของสุวรรณี สุคนธา ผลงานภาพเหมือนชิ้นเยี่ยม โดยจักรพันธุ์ โปษยกฤต ข้างๆ กันนั้นเป็นภาพเขียนสาวไทยในสังคมชั้นสูง เจ้ากอแก้วประกายกา วิล ณ เชียงใหม่ เขียนโดย ระเด่นบาซูกิ อับดุลลาห์ ศิลปินชาวอินโดนีเซียที่ใช้เวลาช่วงหนึ่งของ ชีวิตมาทำงานในฐานะศิลปินในราชสำนักของไทย เมื่อมองขึ้นไปด้านบนสุดของผนัง จะพบพระบรม สาทิสลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 โดยศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี ซึ่ง ไม่ได้มีเพียงแค่ความงดงาม แต่สายพระเนตรยังสะท้อนถึงอำนาจและบารมีอย่างชัดเจนอีกด้วย ภาพบุคคลและประติมากรรมกว่า 40 ผลงานที่ติดตั้งทั่วผนังผืนใหญ่เป็นภาพเหมือนบุคคลที่มีชีวิต จริงที่ให้แรงบันดาลใจกับเสริมคุณ ทั้งนักเขียน นักปฏิวัติ นักแสดง นักกฎหมาย หลายภาพเป็น ภาพเหมือนศิลปิน บางคนเกิดมายากจนแต่จบชีวิตอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งหมดเป็นผลงานที่กลั่นจาก หัวใจของศิลปินหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายรุ่น เช่น จำรัส เกียรติก้อง, กาศ กล่ำน้อย, กฤษดา ภควัตรสุนทร, จิตต์สิงห์ สมบุญ, ธนฤษภ์ ทิพย์วารี, มิร์ทิลล์ ทิแบย์แรงซ์ และ อัชลินี เกษรศุกร์ เป็นต้น The Portrait Staircase A staircase hall adorned with p

ห้องจักรพันธุ์

จักรพันธุ์ โปษยกฤต นับได้ว่าเป็นศิลปินคนสำคัญในยุครัตนโกสินทร์ ผู้เป็นทั้งศิลปินและครู ได้ถ่ายทอดความเป็นสกุลช่างที่ได้สร้างสรรค์ผลงานอันทรงคุณค่ามาหลายสิบปี ปราชญ์ผู้รอบรู้ศิลปะไทยทุกแขนงและครูผู้ปลูกฝังวิถีแห่งการดำรงชีวิตกับศิลปะไทยให้สืบต่อสู่รุ่นต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด ด้วยระลึกถึงความเมตตาและได้มีโอกาสรับใช้ศิลปินตามสมควรมากว่า 10 ปี เสริมคุณจึงได้รวบรวมผลงานในทุกประเภทของ จักรพันธุ์ มาจัดแสดง ตั้งแต่ผลงานภาพเหมือน วิสุตา หัศบำเรอ เขียนเมื่อครั้งที่ศิลปินยังเป็นนักศึกษา ต่อเนื่องด้วยภาพเกาะเสม็ด งานสีน้ำมันบนผ้าใบ เมื่อครั้งท่านยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 3 ในปี พ.ศ. 2507 ที่เขียนจากสถานที่จริง ภาพขุนแผนนางวันทองจากเพลงเขมรโพธิสัตว์ ปี พ.ศ. 2517 เป็นผลงานให้เราได้สัมผัสการเขียนภาพที่มีแรงบันดาลใจจากวรรณคดีไทยได้อย่างละเมียดละไม งานสีพาสเทลบนกระดาษ เช่น งานห่มผ้าแถบ และงานมณีเมขลาอุ้มพระมหาชนก เป็นความงามที่แสดงถึงความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงาน พาเราเข้าไปเคลิ้มฝันในบรรยากาศเหล่านั้นได้จริง ผลงาน พระพาย ปี พ.ศ. 2548 ที่คุ้นตาใครต่อใครหลายคนที่อาจเคยเห็นจากปฏิทิน อารมณ์สีหน้าท่าทางของเทพแห่งลมและความพลิ้วไหวของผ้าและพุ่มไม้ตามแรงลม เป็นแรงดึงดูดให้เรามองภาพพระพายอย่างไม่วางตา อีกหนึ่งผลงานสร้างชื่อให้จักรพันธุ์ คือหุ่นกระบอกที่ศิลปินสร้างต่อเนื่องมาตั้งแต่วัยหนุ่ม หุ่นพระนางที่จัดแสดงในห้องนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2537 และ ……. นับเป็นการรวมสุดยอดของงานฝีมือช่างแบบศิลปะไทยเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ตรงข้ามกันนั้น จัดแสดงทับทรวงเสือคาบดาบทองคำประดับอัญมณี จากสกุลช่างจักรพันธุ์ นอกจากนี้ บริเวณตู้ทรงยุโรปขนาดเล็ก บรรจุผลงานวรรณกรรมในนาม จักรพันธุ์ โปษยกฤต, ศศิวิมล, และนามปากกาอื่นๆของศิลปิน ด้านบนของตู้ประดับด้วยภาพเขียนสีน้ำ ที่ศิลปินเขียนลงในนิตยสารลลนา แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ขันและความเป็นพหูสูตของศิลปิน ในห้องนี้ยังสะท้อนถึงความทรงจำและความผูกพันผ่านภาพถ่ายศิลปินที่เสริมคุณถ่ายต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 10 ปี และข้อความสั้นๆที่ศิลปินเขียนถึงเจ้าของบ้านในหลากหลายวาระโอกาส รวมถึงภาพเหมือนบุคคลในครอบครัวคุณาวงศ์ที่ศิลปินได้เขียนให้อีกด้วย 

Meditation Room

Sermkhun has been designed the proper area for only one person to sit meditating. The huge traditional Buddha image, surrounded by the small ones, has been placed in the middle of the room showing minimal styled.

โถงพุทธศิลป์

จากชานพักชั้น 2 ของตัวบ้าน ปะทะสายตาด้วยผลงานของศิลปินเรืองนาม เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ กับงาน จิตกับวัตถุ ด้วยเทคนิคสีอะคริลิคบนผ้าใบที่แสดงให้เห็นถึงภาวะแห่งพุทธในสังคมเมือง และ ภาพราหูในโทนสีม่วงอันเป็นเอกลักษณ์ของศิลปิน เทคนิคอะคริลิคและดินสอ ผ่านประติมากรรม วิกฤตการณ์โลก ของปัญญา วิจินธนสาร เดินตรงไปตามทางเดินสู่ห้องขนาดเล็ก ใช้งานสำหรับบุคคลเดียว เป็นห้องนั่งสมาธิ ประดิษฐาน พระพุทธรูปสีขาวนวลขนาดใหญ่ ผลงานของประติมากรคนสำคัญ นนทิวรรธน์ จันทนะผะลิน ด้านบนประดับด้วยโคมไฟรูปทรงอินฟินิตี้ ออกแบบโดย …. ดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่น จากนั้นเดินกลับมาสู่โถงบันไดขึ้นโดมชั้น 3 จะผ่านงานขนาดย่อมของเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เขียนด้วยดินสอ ชื่อว่า พฤกษาสวรรค์ ปี 2527 เป็นปีเดียวกับที่ศิลปินเดินทางไปสร้างสรรค์งานจิตรกรรมฝาผนังชิ้นสำคัญที่วัดพุทธประทีป เมืองวิมเบิลดัน พาร์คไซด์ ประเทศอังกฤษ เมื่อมองขึ้นไปสุดสายตาจะเห็นผลงานประติมากรรม พระพุทธเหนือทุกข์และสุข สำแดงลักษณะเฉพาะด้วยเส้นสายลายไทยแบบเฉลิมชัยอย่างชัดเจน ตั้งตระหง่านอยู่ภายใต้โดมสีทองแดงสว่างอร่ามทั่วบริเวณ ประจันหน้ากับประติมากรรม รอยยิ้มแห่งกาลเวลา โดย ธนะ เลาหกัยกุล โดยผนังทั้งสองด้านแวดล้อมด้วยผลงานพุทธศิลป์ของหลากหลายศิลปินไทย 

เพนท์เฮาส์ศิลปะนามธรรม

ชั้น 3 ของอาคารพักอาศัยเป็นที่พำนักของเสริมคุณ คุณาวงศ์และภรรยา ทั้งสองใช้เวลาในชั้นนี้มากที่สุด ประกอบไปด้วยสวนด้านหน้า ห้องนั่งเล่นที่ต่อเนื่องไปถึงครัว และมุมทำงานซึ่งตั้งอยู่หน้าแผงตู้โชว์ขนาดใหญ่ หลังตู้ยังมีห้องนอน ห้องน้ำ และ Walk-in Closet อีกส่วนหนึ่ง ที่พักอาศัยแบบเพนท์เฮาส์แห่งนี้ ตกแต่งด้วยศิลปะแนวนามธรรมที่มีวิวัฒนาการช่วงสั้นๆของไทยผลงาน ดวงตาจักรวาล และ ความหลับลึกของทะเล โดยประเทือง เอมเจริญ เคียงคู่กับผลงานของประเทืองอีกหลายชิ้น อิทธิพล ตั้งโฉลก  เป็นอีกหนึ่งศิลปินที่เจ้าของบ้านชื่นชอบเป็นพิเศษ โดยเก็บสะสมตั้งแต่งานสำคัญชุดแรกๆที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ 2512 เป็นงานที่สร้างชื่อเสียงในยุคแรกๆของศิลปิน และยังมีคอลเลคชั่นในช่วงต่างๆต่อเนื่องมาอีกหลายชิ้น ตกแต่งในชั้นนี้ อีกคอลเลคชั่นที่โดดเด่น คืองานของประติมากรผู้อหังกาในศิลปะสายแกะสลัก ชีวา โกมลมาลัย ประติมากรที่เรียนรู้ด้วยตัวเองคนสำคัญในยุค 80 ซึ่งมีผลงานมากมายอยู่ในคอลเลคชั่นชั้นนำของไทยในยุคนั้น งานที่จัดแสดงในชั้นนี้ เก็บสะสมต่อเนื่องโดยเสริมคุณ และเหมือนฝัน เป็นเวลาหลายปีจนกระทั่งศิลปินจากไป นับเป็นคอลเลคชั่นของชีวาที่ใหญ่ที่สุดคอลเลคชั่นหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีจิตรกรรม ประติมากรรมของศิลปินอีกหลายท่านร่วมจัดแสดง อาทิ นนทิวรรธน์ จันทนะผะลิน  เกรียรติศักดิ์ ชานนท์นาท  อริยะ …. (ช้างพัง) และประติมากรรมรูปผู้หญิงของ วสันต์ ฮารีเมา เป็นต้น ดูเหมือนว่าศิลปะนามธรรมกับวิถีชีวิตใน พ.ศ. 2566 เป็นสิ่งที่ดูเข้ากันได้ดีอย่างยิ่ง

บันไดลับศิลปะ

บันไดวนเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่ในพิพิธภัณฑ์ซึ่งทอดตัวยาวจากชั้น 3 ไปจนถึงชั้น 1 จัดแสดงผลงานศิลปะที่มีเรื่องราวสะท้อนสังคม การเมืองที่เป็นมุมที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ในสังคมศิลปะไทยเฉกเช่นเดียวกัน ผลงานเหล่านี้เป็นผลงานของศิลปินเพื่อสังคมชั้นนำของไทย นำโดย ทวี รัชนีกร วสันต์ สิทธิเขตต์ ธรรมศักดิ์ บุญเชิด ไพศาล ธีรพงษ์วิษณุพร และเป็นการบันทึกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ผ่านการแสดงออกที่ศิลปินแต่ละคนได้เลือกและวิพากษ์ในแบบฉบับของตนเอง ศิลปินรุ่นใหม่อย่าง นูริยา วาจิ สะท้อนแนวความคิดผ่านรูปสัญลักษณ์ มุสลิมะห์ (ผู้หญิงที่นับถือศาสนาอิสลาม) กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น

© Kunawong House 2023. All Right Reserved.

  • Facebook
  • Instagram
  • Youtube
bottom of page